วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปราสาทตาวาย



ปราสาทตาควาย แม้ถูกทิ้งร้างมาหลายศตวรรษ แต่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์จนน่าประหลาดใจ
ตลอดแนวเทือกเขาพนมดงรัก (พนมดงเร็ก – “เขาไม้คาน” ในภาษาเขมร) อันเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนธรรมชาติระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีช่องเขาอยู่เป็นระยะๆ ช่องเขาซึ่งมักมีชื่อเรียกขึ้นต้นว่า “ตา” ต่างๆ เหล่านี้ เป็นหนทางที่ผู้คนทั้งสองฝั่งใช้เดินทางแสวงบุญ ติดต่อซื้อขาย ขนส่งสินค้า ระหว่างแผ่นดินสูงกับเขมรต่ำมาแต่โบราณกาล
และตามช่องเขาเหล่านี้ มักพบว่ามีการสร้างปราสาทหินในวัฒนธรรมแบบเขมรอยู่หลายแห่ง บางกลุ่ม เช่นกลุ่มปราสาทแห่งช่องตาเมือนนั้น (เดิมอยู่ในเขตอำเภอกาบเชิง แต่ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองใหม่อยู่ในกิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์) ประกอบไปด้วยปราสาทที่มีอายุสมัยและหน้าที่ใช้สอยแตกต่างกัน อยู่ในอาณาบริเวณใกล้กัน คือปราสาทตาเมือนธม เป็นเทวพิมานในศาสนาฮินดู ไศวนิกาย ปราสาทตาเมือนโต๊จ เป็นวิหารในศาสนาพุทธ ลัทธิวัชรยาน ประจำอโรคยศาล (โรงพยาบาล) สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ส่วนปราสาทตาเมือน ก็เป็นศาสนสถานประจำธรรมศาลา หรือ “บ้านมีไฟ” - ที่พักคนเดินทาง สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เช่นกัน

ปราสาทนี้มีมุขอยู่สี่ทิศ ทิศตะวันออกมีมุขสั้นยื่นออกมา แต่ไม่มีมณฑป(ห้องโถง) เชื่อมมาด้านหน้าเหมือนพิมายหรือพนมรุ้ง
ทุกวันนี้ การเดินทางไปเยี่ยมชมกลุ่มปราสาทตาเมือน สามารถกระทำได้โดยสะดวก มีถนนราดยางอย่างดีเข้าไปถึงได้ทุกแห่ง ทว่า ก่อนหน้านี้ไม่ถึงยี่สิบปี บุคคลพลเรือนเช่นเราท่าน ย่อมไม่อาจเดินทางเข้าไปได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากตามแนวชายแดนยังมีการสู้รบรุนแรงระหว่างฝักฝ่ายต่างๆ ในสงครามกลางเมืองกัมพูชา จนกระทั่งไม่นานมานี้เอง เมื่อสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทางฝ่ายไทย ทั้งโดยทางทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ทางจังหวัด ตลอดจนถึงกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงสามารถเข้าไปทำการ “อนุรักษ์” และ “พัฒนา” กลุ่มปราสาทตาเมือนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาได้
ไม่นานมานี้ มีการค้นพบปราสาทหินแห่งใหม่ในป่าทึบของพนมดงเร็กที่ช่องตาควาย เรียกกันตามชื่อช่องเขาว่า “ปราสาทตาควาย” แต่เนื่องจากการเก็บกู้กับระเบิดในบริเวณนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งยังเป็นเขตที่มิได้มีการปักปันพรมแดนกันอย่างชัดเจน การเดินทางเข้าไปยังปราสาทตาควาย จึงจำเป็นต้องติดต่อประสานกับทางหน่วยทหารพรานของกองกำลังสุรนารีในพื้นที่ เพื่อขอกำลังอารักขาดูแลความปลอดภัย ทำนองเดียวกันกับการเข้าไปยังกลุ่มปราสาทตาเมือนในช่วงสิบกว่าปีก่อน
ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ผ่านมา กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากอาจารย์สันธนะ ประสงค์สุข แห่งสถาบันราชภัฏสุรินทร์ จัดการติดต่อประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่ให้เดินทางเข้าไปสำรวจและถ่ายภาพปราสาทตาควาย
คณะของเมืองโบราณเดินทางไปสมทบกับทีมสถาบันราชภัฏสุรินทร์ยังจุดนัดหมายที่บ้านบักได กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลาประมาณ ๑๑ น. ของวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ จากนั้นต้องเปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถปิคอัพในพื้นที่ เนื่องจากสภาพถนนไม่ดี แล้วเดินทางต่อไปตามถนนลูกรัง ไปยังบ้านไทยสันติสุข สองข้างถนนเป็นพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านที่เพิ่งเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วงสิบปีมานี้ มีไร่มันสำปะหลัง ไร่ปอ สวนยางพารา สวนมะม่วงหิมพานต์ ทางราชการจัดแปลงจัดสรรให้ชาวบ้านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่รายละ ๒๕ ไร่ แต่เนื่องจากยังมีกับระเบิดหลงเหลืออยู่ทั่วไป ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก จึงมักได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกับระเบิดอยู่เนืองๆ

หน้าต่างที่มุขปราสาทตาควาย ใช้วิธีประกอบชิ้นหินเข้าเป็นช่องหน้าต่าง
จากบ้านไทยสันติสุขเข้าซอยแยกต่อไปยังฐานปฏิบัติการช่องตึ๊กเบ๊าะของทหารพราน (กองร้อยทหารพรานที่ ๙๖๐) เพื่อประสานงานให้นำเข้าไปยังฐานฯ อีกแห่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนเขา จากฐานฯ ช่องตึ๊กเบ๊าะนี้ เพื่อนร่วมทางของคณะสำรวจก็คือทหารพรานหกนาย พร้อมอาวุธ (AK - 47) ครบมือ สองนายขี่จักรยานยนต์นำหน้า อีกสองนายอยู่ท้ายกระบะหลัง ที่เหลือขี่รถจักรยานยนต์ติดตามคุ้มกัน
ทางช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นบ่อลูกรัง ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร รถยนต์จะต้องค่อยๆ ไต่เลาะขึ้นไปตามไหล่เขา สองข้างเป็นป่าทึบ มีสะพานไม้ข้ามห้วยเล็กๆ สองสามแห่ง บางสะพานชำรุด รับน้ำหนักมากๆ ไม่ได้ จึงต้องให้ผู้โดยสารลงเดินนำไปแล้วจึงให้รถเปล่าข้ามตามไป ทหารพรานที่มาอารักขาเล่าว่าถนนสายนี้ ตัดขึ้นมาเพื่อใช้ส่งกำลังบำรุงให้กับฐานฯ ที่อยู่บนเขา ซึ่งขาดแคลนน้ำ ต้องมีรถขึ้นไปส่งน้ำทุกๆ สองสามวัน

       การเรียงหินส่วนหลังคามุข
เมื่อเดินทางถึงฐานปฏิบัติการของทหารพรานแล้ว พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในวันนี้ ได้กล่าวต้อนรับ และย้ำว่าการปักปันเขตแดนบริเวณนี้ยังไม่ชัดเจนนัก (ว่าปราสาทตาควายจะอยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชากันแน่) แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างหน่วยทหารพรานของไทย กับกำลังตำรวจของกัมพูชาจะเป็นไปด้วยดี มีการเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่ และออกลาดตระเวนร่วมกันเสมอ ทว่า เนื่องจากบริเวณโดยรอบยังมีกับระเบิดอยู่ทั่วไป ดังนั้น จึงขอให้คณะสำรวจอยู่ในเส้นทางเท่านั้น
จากนั้นจึงเริ่มออกเดินเท้าต่อไปยังปราสาทตาควาย โดยมีกำลังทหารพรานจากฐานฯ อีกหนึ่งหมู่ ดูแลอารักขา เส้นทางเดินจากฐานฯ ไปยังปราสาทตาควาย เป็นทางลาดลงเขา ผ่านป่าทึบ ใช้เวลาเดินอย่างเร็ว (ตามทหารพราน) ประมาณ ๒๕ - ๓๐ นาที คาดว่าระยะทางคงประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ในท้ายที่สุด เมื่อโผล่พ้นดงไม้ไปก็พบกับตัวปราสาทตาควายทันที ตัวปราสาทอยู่บนไหล่เขา และเนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ ด้านหลังจึงอยู่เกือบติดกับเพิงผาของภูเขาด้านหลัง
ปราสาทตาควายเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ ไม่ปรากฏว่ามีอาคารประกอบอื่นๆ เช่นระเบียงคด บรรณาลัย หรือโคปุระ (สอบถามจากทหารพรานก็ว่าไม่พบ) ตัวปราสาทก่อด้วยหินทราย คะเนด้วยสายตาว่าน่าจะมีความสูงประมาณ ๑๒ - ๑๕ เมตรจากพื้นดิน (ไม่รวมส่วนฐานที่คงยังฝังจมอยู่ในดิน) มีประตูทางเข้าสี่ด้าน ทุกด้านเป็นช่องประตูจริง มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า (ตะวันออก) เป็นมุขสั้นๆ ปัจจุบันพังทลายลงมาบางส่วน
ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือสภาพของปราสาทตาควายนับว่าสมบูรณ์มาก คือชั้นหลังคายังอยู่ทั้งหมดจนถึงบัวยอด แต่การก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เพียงก่อขึ้นรูปไว้เท่านั้น ยังมิได้ขัดแต่งผิวหิน หรือแกะสลักลวดลายใดๆ ซึ่งนั่นเองอาจเป็นเหตุให้ปราสาทยังคงรูปอยู่ได้ โดยไม่ถูกทำลาย หรือลักลอบกะเทาะชิ้นส่วนต่างๆ ไป เช่นที่เกิดขึ้นกับปราสาทอื่นๆ ตามแนวชายแดน เช่นปราสาทตาเมือนธม
การที่ไม่ปรากฏลวดลายอย่างหนึ่งอย่างใดเลยนี้ ทำให้กำหนดอายุปราสาทตาควายได้แต่เพียงกว้างๆ จากรูปทรงของตัวปราสาท ว่าน่าจะอยู่ในราวช่วงปลายสมัยนครวัด ต่อตอนต้นสมัยบายน หรือรัชกาลพระเจ้าสุรยวรมันที่ ๒ ถึงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

แท่นฐานรูปเคารพ (ศิวลึงค์?) ภายในปราสาทตาควาย
ส่วนลัทธิศาสนาของผู้สร้างปราสาทแห่งนี้นั้น เนื่องจากไม่ปรากฏรูปเคารพใดๆ หลงเหลือให้เห็นชัดเจน จึงได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณกลางห้องโถงของปราสาทซึ่งควรเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือรูปเคารพนั้น มีแท่งหินธรรมชาติลักษณะคล้ายศิวลึงค์ตั้งอยู่ (แต่จะใช่หรือไม่ยังไม่อาจระบุได้) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ที่นี่ก็อาจเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ที่นับถือพระศิวะ เช่นเดียวกับที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งก็มีการสถาปนาโขดหินธรรมชาติให้เป็นศิวลึงค์ประธานของศาสนสถานด้วย หลังจากใช้เวลานั่งพัก สำรวจ และถ่ายภาพประมาณหนึ่งชั่วโมง คณะสำรวจก็เดินเท้ากลับยังฐานฯ ซึ่งขากลับนี้เป็นทางขึ้นเขา จึงสร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ปราสาทตาควายนี้เพิ่งเป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่น ในระยะไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทางหน่วยทหารพรานในพื้นที่ ก็ได้เคยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับคณะบุคคล เช่น อบต. หรือองค์กรเอกชน (NGO) บางแห่งมาบ้างแล้ว สังเกตได้จากขยะที่เริ่มมีให้เห็นสองข้างทางเดิน เช่นเปลือกลูกอม กระป๋องกาแฟ ขวดน้ำพลาสติก หรือแม้แต่ถ้วยโยเกิร์ต

 ทับหลังและเสาประดับกรอบประตูชั้นใน ยังไม่มีการแกะสลักภาพใดๆ
เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในพื้นที่ ก็ได้พยายามรักษาสภาพปราสาทตาควายไว้ ด้วยการหมั่นถากถางต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุม ทว่า เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังมีความคลุมเครือในด้านเขตแดน ดังนั้น แม้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกัน หากแต่การจะพัฒนาปราสาทตาควายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ หรือแม้แต่การที่จะมีนักท่องเที่ยวไทยเข้าไปกันเป็นจำนวนมากนั้น ย่อมไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายกัมพูชานัก ดังปรากฏท่าทีว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๔ หนังสือพิมพ์ของกัมพูชา อย่างน้อยสองฉบับ ก็เคยลงข่าวว่ากองกำลังของไทยลักลอบนำสารเคมีมาโปรยที่ปราสาทกรอเบย (กระบือ - ควาย) ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก ทำให้ตัวปราสาทพังทลายลงมา หนังสือพิมพ์ มนสิการเขมร เสริมด้วยว่า “ประเทศไทยกำลังทำสงครามทำลายวัฒนธรรม และทำสงครามช่วงชิงดินแดนของประเทศกัมพูชาแล้ว” แม้ว่าสำหรับเรา - กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ จะเห็นว่าปราสาทตาควายนี้ ตลอดจนถึงปราสาทแห่งอื่นๆ ตามช่องเขาพนมดงเร็ก จะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของความสัมพันธ์อันดีระหว่างดินแดนทั้งสองฝั่งที่ยาวนานและยั่งยืนมานับพันปี ทว่า นับตั้งแต่กรณีข่าวลือว่าดาราสาวชาวไทย ให้สัมภาษณ์ว่านครวัดเป็นของไทย จนนำไปสู่การจลาจล เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๖ ก็คงทำให้เราเห็นได้ว่ากรณีทำนองนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรณีปราสาทตาควายนี้จึงพึงได้รับความใส่ใจและความรอบคอบในการดำเนินการจากหน่วยงานรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ และพี่น้องทหารพรานจากกองร้อยทหารพรานที่ ๙๖๐ กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ อาจารย์ สันธนะ ประสงค์สุข (สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ) และ คุณวิชชุ เวชชาชีวะ (กระทรวงการต่างประเทศ)
ที่มา: http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=10

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น