ปราสาทตาควาย แม้ถูกทิ้งร้างมาหลายศตวรรษ แต่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์จนน่าประหลาดใจ
ตลอดแนวเทือกเขาพนมดงรัก (พนมดงเร็ก – “เขาไม้คาน” ในภาษาเขมร) อันเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนธรรมชาติระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีช่องเขาอยู่เป็นระยะๆ ช่องเขาซึ่งมักมีชื่อเรียกขึ้นต้นว่า “ตา” ต่างๆ เหล่านี้ เป็นหนทางที่ผู้คนทั้งสองฝั่งใช้เดินทางแสวงบุญ ติดต่อซื้อขาย ขนส่งสินค้า ระหว่างแผ่นดินสูงกับเขมรต่ำมาแต่โบราณกาล
และตามช่องเขาเหล่านี้ มักพบว่ามีการสร้างปราสาทหินในวัฒนธรรมแบบเขมรอยู่หลายแห่ง บางกลุ่ม เช่นกลุ่มปราสาทแห่งช่องตาเมือนนั้น (เดิมอยู่ในเขตอำเภอกาบเชิง แต่ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองใหม่อยู่ในกิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์) ประกอบไปด้วยปราสาทที่มีอายุสมัยและหน้าที่ใช้สอยแตกต่างกัน อยู่ในอาณาบริเวณใกล้กัน คือปราสาทตาเมือนธม เป็นเทวพิมานในศาสนาฮินดู ไศวนิกาย ปราสาทตาเมือนโต๊จ เป็นวิหารในศาสนาพุทธ ลัทธิวัชรยาน ประจำอโรคยศาล (โรงพยาบาล) สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ส่วนปราสาทตาเมือน ก็เป็นศาสนสถานประจำธรรมศาลา หรือ “บ้านมีไฟ” - ที่พักคนเดินทาง สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เช่นกัน
![]() ปราสาทนี้มีมุขอยู่สี่ทิศ ทิศตะวันออกมีมุขสั้นยื่นออกมา แต่ไม่มีมณฑป(ห้องโถง) เชื่อมมาด้านหน้าเหมือนพิมายหรือพนมรุ้ง |
ไม่นานมานี้ มีการค้นพบปราสาทหินแห่งใหม่ในป่าทึบของพนมดงเร็กที่ช่องตาควาย เรียกกันตามชื่อช่องเขาว่า “ปราสาทตาควาย” แต่เนื่องจากการเก็บกู้กับระเบิดในบริเวณนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งยังเป็นเขตที่มิได้มีการปักปันพรมแดนกันอย่างชัดเจน การเดินทางเข้าไปยังปราสาทตาควาย จึงจำเป็นต้องติดต่อประสานกับทางหน่วยทหารพรานของกองกำลังสุรนารีในพื้นที่ เพื่อขอกำลังอารักขาดูแลความปลอดภัย ทำนองเดียวกันกับการเข้าไปยังกลุ่มปราสาทตาเมือนในช่วงสิบกว่าปีก่อน
ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ผ่านมา กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากอาจารย์สันธนะ ประสงค์สุข แห่งสถาบันราชภัฏสุรินทร์ จัดการติดต่อประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่ให้เดินทางเข้าไปสำรวจและถ่ายภาพปราสาทตาควาย
คณะของเมืองโบราณเดินทางไปสมทบกับทีมสถาบันราชภัฏสุรินทร์ยังจุดนัดหมายที่บ้านบักได กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลาประมาณ ๑๑ น. ของวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ จากนั้นต้องเปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถปิคอัพในพื้นที่ เนื่องจากสภาพถนนไม่ดี แล้วเดินทางต่อไปตามถนนลูกรัง ไปยังบ้านไทยสันติสุข สองข้างถนนเป็นพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านที่เพิ่งเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วงสิบปีมานี้ มีไร่มันสำปะหลัง ไร่ปอ สวนยางพารา สวนมะม่วงหิมพานต์ ทางราชการจัดแปลงจัดสรรให้ชาวบ้านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่รายละ ๒๕ ไร่ แต่เนื่องจากยังมีกับระเบิดหลงเหลืออยู่ทั่วไป ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก จึงมักได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกับระเบิดอยู่เนืองๆ

หน้าต่างที่มุขปราสาทตาควาย ใช้วิธีประกอบชิ้นหินเข้าเป็นช่องหน้าต่าง
ทางช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นบ่อลูกรัง ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร รถยนต์จะต้องค่อยๆ ไต่เลาะขึ้นไปตามไหล่เขา สองข้างเป็นป่าทึบ มีสะพานไม้ข้ามห้วยเล็กๆ สองสามแห่ง บางสะพานชำรุด รับน้ำหนักมากๆ ไม่ได้ จึงต้องให้ผู้โดยสารลงเดินนำไปแล้วจึงให้รถเปล่าข้ามตามไป ทหารพรานที่มาอารักขาเล่าว่าถนนสายนี้ ตัดขึ้นมาเพื่อใช้ส่งกำลังบำรุงให้กับฐานฯ ที่อยู่บนเขา ซึ่งขาดแคลนน้ำ ต้องมีรถขึ้นไปส่งน้ำทุกๆ สองสามวัน
![]() การเรียงหินส่วนหลังคามุข |
เมื่อเดินทางถึงฐานปฏิบัติการของทหารพรานแล้ว พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในวันนี้ ได้กล่าวต้อนรับ และย้ำว่าการปักปันเขตแดนบริเวณนี้ยังไม่ชัดเจนนัก (ว่าปราสาทตาควายจะอยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชากันแน่) แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างหน่วยทหารพรานของไทย กับกำลังตำรวจของกัมพูชาจะเป็นไปด้วยดี มีการเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่ และออกลาดตระเวนร่วมกันเสมอ ทว่า เนื่องจากบริเวณโดยรอบยังมีกับระเบิดอยู่ทั่วไป ดังนั้น จึงขอให้คณะสำรวจอยู่ในเส้นทางเท่านั้น
จากนั้นจึงเริ่มออกเดินเท้าต่อไปยังปราสาทตาควาย โดยมีกำลังทหารพรานจากฐานฯ อีกหนึ่งหมู่ ดูแลอารักขา เส้นทางเดินจากฐานฯ ไปยังปราสาทตาควาย เป็นทางลาดลงเขา ผ่านป่าทึบ ใช้เวลาเดินอย่างเร็ว (ตามทหารพราน) ประมาณ ๒๕ - ๓๐ นาที คาดว่าระยะทางคงประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ในท้ายที่สุด เมื่อโผล่พ้นดงไม้ไปก็พบกับตัวปราสาทตาควายทันที ตัวปราสาทอยู่บนไหล่เขา และเนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ ด้านหลังจึงอยู่เกือบติดกับเพิงผาของภูเขาด้านหลัง
ปราสาทตาควายเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ ไม่ปรากฏว่ามีอาคารประกอบอื่นๆ เช่นระเบียงคด บรรณาลัย หรือโคปุระ (สอบถามจากทหารพรานก็ว่าไม่พบ) ตัวปราสาทก่อด้วยหินทราย คะเนด้วยสายตาว่าน่าจะมีความสูงประมาณ ๑๒ - ๑๕ เมตรจากพื้นดิน (ไม่รวมส่วนฐานที่คงยังฝังจมอยู่ในดิน) มีประตูทางเข้าสี่ด้าน ทุกด้านเป็นช่องประตูจริง มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า (ตะวันออก) เป็นมุขสั้นๆ ปัจจุบันพังทลายลงมาบางส่วน
ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือสภาพของปราสาทตาควายนับว่าสมบูรณ์มาก คือชั้นหลังคายังอยู่ทั้งหมดจนถึงบัวยอด แต่การก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เพียงก่อขึ้นรูปไว้เท่านั้น ยังมิได้ขัดแต่งผิวหิน หรือแกะสลักลวดลายใดๆ ซึ่งนั่นเองอาจเป็นเหตุให้ปราสาทยังคงรูปอยู่ได้ โดยไม่ถูกทำลาย หรือลักลอบกะเทาะชิ้นส่วนต่างๆ ไป เช่นที่เกิดขึ้นกับปราสาทอื่นๆ ตามแนวชายแดน เช่นปราสาทตาเมือนธม
การที่ไม่ปรากฏลวดลายอย่างหนึ่งอย่างใดเลยนี้ ทำให้กำหนดอายุปราสาทตาควายได้แต่เพียงกว้างๆ จากรูปทรงของตัวปราสาท ว่าน่าจะอยู่ในราวช่วงปลายสมัยนครวัด ต่อตอนต้นสมัยบายน หรือรัชกาลพระเจ้าสุรยวรมันที่ ๒ ถึงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

แท่นฐานรูปเคารพ (ศิวลึงค์?) ภายในปราสาทตาควาย
ส่วนลัทธิศาสนาของผู้สร้างปราสาทแห่งนี้นั้น เนื่องจากไม่ปรากฏรูปเคารพใดๆ หลงเหลือให้เห็นชัดเจน จึงได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณกลางห้องโถงของปราสาทซึ่งควรเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือรูปเคารพนั้น มีแท่งหินธรรมชาติลักษณะคล้ายศิวลึงค์ตั้งอยู่ (แต่จะใช่หรือไม่ยังไม่อาจระบุได้) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ที่นี่ก็อาจเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ที่นับถือพระศิวะ เช่นเดียวกับที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งก็มีการสถาปนาโขดหินธรรมชาติให้เป็นศิวลึงค์ประธานของศาสนสถานด้วย หลังจากใช้เวลานั่งพัก สำรวจ และถ่ายภาพประมาณหนึ่งชั่วโมง คณะสำรวจก็เดินเท้ากลับยังฐานฯ ซึ่งขากลับนี้เป็นทางขึ้นเขา จึงสร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ปราสาทตาควายนี้เพิ่งเป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่น ในระยะไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทางหน่วยทหารพรานในพื้นที่ ก็ได้เคยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับคณะบุคคล เช่น อบต. หรือองค์กรเอกชน (NGO) บางแห่งมาบ้างแล้ว สังเกตได้จากขยะที่เริ่มมีให้เห็นสองข้างทางเดิน เช่นเปลือกลูกอม กระป๋องกาแฟ ขวดน้ำพลาสติก หรือแม้แต่ถ้วยโยเกิร์ต
![]() ทับหลังและเสาประดับกรอบประตูชั้นใน ยังไม่มีการแกะสลักภาพใดๆ |
เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในพื้นที่ ก็ได้พยายามรักษาสภาพปราสาทตาควายไว้ ด้วยการหมั่นถากถางต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุม ทว่า เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังมีความคลุมเครือในด้านเขตแดน ดังนั้น แม้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกัน หากแต่การจะพัฒนาปราสาทตาควายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ หรือแม้แต่การที่จะมีนักท่องเที่ยวไทยเข้าไปกันเป็นจำนวนมากนั้น ย่อมไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายกัมพูชานัก ดังปรากฏท่าทีว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๔ หนังสือพิมพ์ของกัมพูชา อย่างน้อยสองฉบับ ก็เคยลงข่าวว่ากองกำลังของไทยลักลอบนำสารเคมีมาโปรยที่ปราสาทกรอเบย (กระบือ - ควาย) ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก ทำให้ตัวปราสาทพังทลายลงมา หนังสือพิมพ์ มนสิการเขมร เสริมด้วยว่า “ประเทศไทยกำลังทำสงครามทำลายวัฒนธรรม และทำสงครามช่วงชิงดินแดนของประเทศกัมพูชาแล้ว” แม้ว่าสำหรับเรา - กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ จะเห็นว่าปราสาทตาควายนี้ ตลอดจนถึงปราสาทแห่งอื่นๆ ตามช่องเขาพนมดงเร็ก จะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของความสัมพันธ์อันดีระหว่างดินแดนทั้งสองฝั่งที่ยาวนานและยั่งยืนมานับพันปี ทว่า นับตั้งแต่กรณีข่าวลือว่าดาราสาวชาวไทย ให้สัมภาษณ์ว่านครวัดเป็นของไทย จนนำไปสู่การจลาจล เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๖ ก็คงทำให้เราเห็นได้ว่ากรณีทำนองนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรณีปราสาทตาควายนี้จึงพึงได้รับความใส่ใจและความรอบคอบในการดำเนินการจากหน่วยงานรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ และพี่น้องทหารพรานจากกองร้อยทหารพรานที่ ๙๖๐ กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ อาจารย์ สันธนะ ประสงค์สุข (สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ) และ คุณวิชชุ เวชชาชีวะ (กระทรวงการต่างประเทศ)
ที่มา: http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=10
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น