วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

ประเพณีบุญบั้งไฟโคกกลาง




 บ้าน โคกกลาง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ นายภคภูมิ บุตรโพธิ์ ท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ ประธานเปิดงาน โครงการส่งเสริมการท่องเที่ยว อนุรักษ์ ประเพณีประเพณีวัฒนธรรมพนมดงรัก (บุญบั้งไฟ ตำบลโคกกลาง) นายบรรพต จันทร์เฉลียว นายอำเภอพนมดงรัก ในนามคณะกรรมการจัดงานและพี่น้องประชาชนชาวอำเภอพนมดง ให้การต้อนรับ

อบต.โคกกลาง จัดงานสืบสานประเพณีบุญบั้งไฟ ประกวดเอ้บั้งไฟสวยงาม สุดยิ่งใหญ่
ทั้งนี้ นายวิชิต เครือศรี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลโคกกลาง ซึ่งเป็นผู้ดูแลการจัดงานในครั้งนี้ กล่าวรายงานว่า การจัดงานครั้งนี้เป็นครั้งที่ 18 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ ส่งเสริม อนุรักษ์ สืบสานประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและประชาสัมพันธ์ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ประเพณี วัฒนธรรม
โดยกิจกรรมในงานประกอบด้วย การประกวดเอ้บั้งไฟสวยงาม การประกวดบั้งไฟขึ้นสูง การจำหน่ายอาหารและสินค้าราคาถูก การแสดงสินค้าOTOPและการแสดงศิลปะพื้นบ้านของตำบลโคกกลางซึ่งการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟตำบลโคกกลางในปีนี้ มีขบวนแห่จากชุมชนต่างๆเข้าร่วมงานคับคั่ง มีริ้วขบวนที่สวยงาม การประดับประดาตบแต่งบั้งไฟที่วิจิตรงดงามตระการตา แต่ละขบวนต่างออกลีลาเพื่อสร้างสีสันกันอย่างสนุกสนาน
ซึ่งได้รับการร่วมมือจากทั้งภาครัฐและเอกชน ในการสร้างเสริมวัฒนธรรม ค่านิยมประเพณีไทย ร่วมทั้งการส่งเสริมฟื้นฟูและอนุรักษ์ประเพณีที่ดีงามนี้ให้คงอยู่สืบไป หลังจากนั้น นายภคภูมิ บุตรโพธิ์  ท้องถิ่นจังหวัดสุรินทร์ ได้นำข้าราชการ พ่อค้าและประชาชนที่มาร่วมงานจำนวนมาก ร่วมกันกล่าวคำปฏิญาณตนในพิธีปกป้องสถาบันสำคัญของชาติ อีกด้วย

ปราสาทตาเมือน



         กลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทที่รวมกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน มาเป็นอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน และกำลังพิจารณาปราสาทกลุ่มราชมรรคาเป็นมรดกโลก
ปราสาทตาเมือน หรือ ปราสาทบายกรีม ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงเร็ก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน
ปราสาทตาเมือน อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา หรือที่พักสำหรับคนเดินทาง







การเข้าชม
          เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย และเคยเป็นเขตอันตราย เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเข้าชม ควรติดต่อหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งด่านอยู่ที่หมู่บ้าน

          การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางอำเภอปราสาทตามทางหลวงหมายเลข 214 จนมาถึงทางแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 24 ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 24 จนถึงสามแยกบริเวณนิคมปราสาท ให้เลี้ยวซ้าย ไปตามป้ายบอกทางไปอำเภอพนมดงรัก ตามทางหลวงหมายเลข 2397 จนมาถึงแยกบริเวณ อบต. แนงมุด ให้เลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงหมายเลข 224 จนพบป้ายบอกทางไปกลุ่มปราสาทตาเมือน ให้เลยป้ายไปอีกเล็กน้อยจนถึงแยกบ้านตาเมียง จะพบทางที่มีป้ายบอกไป ฉก. ตชด. 16 เลี้ยวไปตามถนนเส้นนี้(2407)ตรงมาเรื่อยๆ จนพบห้าแยกเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2407 ผ่านบ้านหนองคันนา ใช้ทางตรงมาเรื่อยจนพบทางแยก จะพบปราสาทตาเมือนก่อน ใกล้ๆกันนั้นมีหน่วยตระเวนชายแดนคุ้มครองนักท่องเที่ยว ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยในการเที่ยวชมปราสาท

         การเดินทางจากจังหวัดบุรีรัมย์ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 219 ที่จะไปบ้านกรวด จนมาถึงแยกที่ตัดกับทางหลวงหมายเลข 224 บริเวณนิคมปราสาท อำเภอบ้านกรวด เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 224 จนถึงแยกบ้านตาเมียง แล้วไปตามเส้นทางเช่นเดียวกับข้างต้น

ปราสาทบายกรีม

TM02
         ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงเร็ก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลบ้านตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน
ปราสาทตาเมือน อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา หรือที่พักสำหรับคนเดินทาง
       เป็นธรรมศาลาแห่งหนึ่งในจำนวน 17 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่พักคนเดินทางบนเส้นทางจากเมืองยโสธรปุระไปยังเมืองพิมาย เป็นปราสาทขนาดเล็กที่สุดในกลุ่มปราสาทตาเหมือน ลักษณะเป็นห้องโถงยาวก่อด้วยศิลาแลง กรอบประตูหน้าต่างเป็นหิน ทราย มีศิลปะที่น่าชมคือทับหลังเหนือประตูทิศตะวันออก จำหลักเป็นลวดลายพระพุทธเจ้าปางสมาธิประทับเหนือหน้ากาล ซึ่งเป็นพุทธลักษณะที่นิยมในพุทธศาสนาแบบมหายาน








ปราสาทตาเมือนโต๊ด


ปราสาทตาเมือนโต๊ด (​เขมรប្រាសាទតាមាន់តូច ตาม็วนโตจ - ตาไก่เล็ก) ตั้งอยู่ในช่องเขาตาเมือน (หรือช่องเขาตาเมียง) เทือกเขาพนมดงรัก ในเขตบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 8 ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เป็นปราสาทหลังหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์กลุ่มปราสาทตาเมือน ซึ่งประกอบด้วยปราสาทหินสามหลัง เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก คือ ปราสาทตาเมือนธมปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาเมือน
ปราสาทตาเมือนโต๊ดอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธมไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 750 เมตร และอยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 390 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ เชื่อกันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยศาลหรือสถานรักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
 กล่าวนมัสการพระพุทธเจ้า พระไภษัชยคุรุไวฑูรยะ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ประทานความ ไม่มีโรคแก่ประชาชนผู้นับถือ และกล่าวถึงการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำสถานพยาบาลในแผนกต่างๆ เช่น แพทย์ ผู้ดูแลสถานพยาบาลเป็นต้น ปัจจุบันหลักนี้เก็บรักษาไว้ที่หอสมุดแห่งชาติท่า วาสุกรี 

     ปราสาทตาเมือนโต๊ด ในกลุ่ม ปราสาทตาเมือน ยังเป็น อโรคยศาลา (โรงพยาบาลในสมัยนั้น) หลังสุดท้ายในเขตประเทศไทย ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็น 1 ใน 102 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 โปรดให้สร้างเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ ดังข้อความในจารึกของพระองค์ที่พบในประเทศ ไทยหลักหนึ่งระบุว่า...ทุกข์ของประชาราษฎร์คือทุกข์ในพระองค์ 


ที่มา: http://travel.thaiza.com/

วัดป่าเขาโต๊ะ


            

วัดป่าเขาโต๊ะแห่งนี้ เป็นสถานที่เงียบสงบร่มเย็น เหมาะแก่การปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานวัดนี้ตั้งชื่อตามก้อนหินทรายที่มีลักษณะคล้ายโต๊ะ ซึ่งมีอยู่รอบบริเวณวัด มีพระภิกษุวสันต์ วังคีโส ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ เป็น พระครูพนมศีลาจารย์ จากเหตุการปะทะกันที่ปราสาทตาควายและปราสาทตาเมือนธม วัดดังกล่าวอยู่ใกล้ปราสาทตาควายเพียง 3 กิโลเมตร ยังมีมีพระสงฆ์อีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงตัดสินใจที่จะจำวัดที่วัดตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ว่าในแต่ละวันการสู้รบกันจะมีการยิงกระสุนปืนใหญ่เข้าหากันดังสนั่นมาถึงวัด และในขณะนี้ก็ยังคงงดออกบิณฑบาต เนื่องจากว่าไม่มีชาวบ้านอยู่ที่บ้าน อีกทั้งต้องเสี่ยงกับกระสุนจากการปะทะข้ามเข้ามาตกในพื้นที่ เช่นที่วัดเขาโต๊ะ จ.สุรินทร์ พระครูพนมศิลาจารย์ เจ้าอาวาสวัด พร้อมพระลูกวัดอีก 4 รูป ยังคงจำวัดอยู่ที่วัดดังกล่าวไม่ยอมอพยพออก นอกจากนี้พระพนมศิลาจารย์ ยังใช้ความเชื่อและความศรัทธาเป็นอาวุธป้องกันป่า โดยอาศัยประเพณีทางศาสนา และพิธีกรรม เช่นการสร้างพระพุทธรูปปรางค์ปฐมเทศนาบนบ่อน้ำทิพย์ การแกะสลักรูปพระพุทธรูปตามโขดหิน และใช้ป่าเป็นสถานปฎิบัติธรรม ที่วัดป่าเขาโต๊ะ แห่งนี้ ในแต่ละวันจะมีทหารไทยที่ผลัดเปลี่ยนกำลังออกจากการปฏิบัติงานในแนวหน้าบริเวณชายแดนปราสาทตาควาย ได้เดินทางมากราบไหว้ ขอพรจากพระครูพนม ศีลาจารย์ และรับเครื่องรางของขลัง ติดตัวไว้เพื่อกราบไหว้บูชาอยู่เป็นประจำ นอกจากนี้ทางวัดป่าเขาโต๊ะได้จัดตั้งโรงทาน มีบรรดาญาติโยม ผู้รักษาชาติ รักแผ่นดิน มีจิตใจเป็นกุศล ได้มาตั้งโรงทานประกอบอาหาร นำน้ำดื่ม และเครื่องดื่มชูกำลัง มาคอยเลี้ยงทหารไทยที่ปฏิบัติงานตามสนามรบชายแดน ด้าน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ตลอดทั้งวันด้วย สิ่งที่เห็นกับสภาพวัด โดยรอบทั่วไปมองว่าร่มรื่นเงียบ ต้นไม้ใหญ่มากมาย ท่ามกลางความสงบ เสียงลมพัดเบาๆที่ผ่านมา ไม่ได้ดูน่ากลัวนัก กับป้ายใหญ่ๆ ที่เป็นจุดหมายอุทยานการศึกษาวัดเขาโต๊ะกับป้ายหินใหญ่ๆ ที่ดูตระหง่าน แนววัชพืช..ที่รายแนวบ้าง เส้นทางเดินสู่พระพุทธศาสนา ใครจะรู้ได้บ้างว่านี่คือ สถานที่แห่งธรรมมะ ที่..อยู่ภายใต้ความกดดันรายรอบ สภาพศาลาที่มีสภาพพังทลายจากแรงระเบิดเมื่อเกิดการปะทะกัน หลังคาศาลาไม่มีมีแต่สแลมสีดำๆ กั้นเป็นแนวให้ร่มนิดหน่อยจากชายคา หน้าฝนคงเปียกปอนอย่างหามิได้ องค์พระ และอื่นๆ วางอย่างละมุม ซากที่เห็นยังคงเป็นที่ๆ พระสงฆ์ได้ใช้ในกิจวัตรประจำวัน ได้ทำบุญถวายอาหารพร้อมชาวบ้านที่นั่นที่ไม่ได้มามากนักเพราะตลอดรายทางชาวบ้านได้ย้ายกันออกไปบ้าง เหลือแต่เทือกสวนไร่ยางบ้าง.. สัมผัสที่ได้รับรู้สึกเบาๆ อย่างจรรโลงใจ..หลัุงถวายอาหารเช้าแล้วเดินไปรอบๆวัด พบซากระเบิดที่อยู่บนก้อนหิน น้องพาเดินไปดุที่ต่างๆ แต่ท้องเริ่มร้องแล้วยังต้องมีภาระกิจกับที่วัดอีกมาก อาหารที่แม่ชีจัดหาให้ เราทานพร้อมนายทหารประจำการที่นี่ที่แวะเวียนมาที่วัดสม่ำเสมอ เปรียบเหมือนที่พักทางใจ และกายในบางครั้ง.. อาหารไม่ได้วิลิศมาราเหมือนในเมืองใหญ่..แต่การทานพร้อมกันกับลูกวัด ชาวบ้าน เพื่อนๆ ที่พร้อมใจกันมา...ให้ได้เห็นกับตา และความรู้สึกเงียบๆครั้งนี้.. บอกไม่ได้เลย..ว่าที่นี่คือที่พักพิงอันยิ่งใหญ่ของประชาชนคนไทยอีกฟากหนึ่งของสังคม...


ปราสาทตาวาย



ปราสาทตาควาย แม้ถูกทิ้งร้างมาหลายศตวรรษ แต่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์จนน่าประหลาดใจ
ตลอดแนวเทือกเขาพนมดงรัก (พนมดงเร็ก – “เขาไม้คาน” ในภาษาเขมร) อันเป็นส่วนหนึ่งของพรมแดนธรรมชาติระหว่างราชอาณาจักรไทยกับราชอาณาจักรกัมพูชา มีช่องเขาอยู่เป็นระยะๆ ช่องเขาซึ่งมักมีชื่อเรียกขึ้นต้นว่า “ตา” ต่างๆ เหล่านี้ เป็นหนทางที่ผู้คนทั้งสองฝั่งใช้เดินทางแสวงบุญ ติดต่อซื้อขาย ขนส่งสินค้า ระหว่างแผ่นดินสูงกับเขมรต่ำมาแต่โบราณกาล
และตามช่องเขาเหล่านี้ มักพบว่ามีการสร้างปราสาทหินในวัฒนธรรมแบบเขมรอยู่หลายแห่ง บางกลุ่ม เช่นกลุ่มปราสาทแห่งช่องตาเมือนนั้น (เดิมอยู่ในเขตอำเภอกาบเชิง แต่ปัจจุบันแบ่งเขตการปกครองใหม่อยู่ในกิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์) ประกอบไปด้วยปราสาทที่มีอายุสมัยและหน้าที่ใช้สอยแตกต่างกัน อยู่ในอาณาบริเวณใกล้กัน คือปราสาทตาเมือนธม เป็นเทวพิมานในศาสนาฮินดู ไศวนิกาย ปราสาทตาเมือนโต๊จ เป็นวิหารในศาสนาพุทธ ลัทธิวัชรยาน ประจำอโรคยศาล (โรงพยาบาล) สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ส่วนปราสาทตาเมือน ก็เป็นศาสนสถานประจำธรรมศาลา หรือ “บ้านมีไฟ” - ที่พักคนเดินทาง สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ เช่นกัน

ปราสาทนี้มีมุขอยู่สี่ทิศ ทิศตะวันออกมีมุขสั้นยื่นออกมา แต่ไม่มีมณฑป(ห้องโถง) เชื่อมมาด้านหน้าเหมือนพิมายหรือพนมรุ้ง
ทุกวันนี้ การเดินทางไปเยี่ยมชมกลุ่มปราสาทตาเมือน สามารถกระทำได้โดยสะดวก มีถนนราดยางอย่างดีเข้าไปถึงได้ทุกแห่ง ทว่า ก่อนหน้านี้ไม่ถึงยี่สิบปี บุคคลพลเรือนเช่นเราท่าน ย่อมไม่อาจเดินทางเข้าไปได้โดยเด็ดขาด เนื่องจากตามแนวชายแดนยังมีการสู้รบรุนแรงระหว่างฝักฝ่ายต่างๆ ในสงครามกลางเมืองกัมพูชา จนกระทั่งไม่นานมานี้เอง เมื่อสถานการณ์ในประเทศเพื่อนบ้านของเราเริ่มกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทางฝ่ายไทย ทั้งโดยทางทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ทางจังหวัด ตลอดจนถึงกรมศิลปากร และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงสามารถเข้าไปทำการ “อนุรักษ์” และ “พัฒนา” กลุ่มปราสาทตาเมือนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นมาได้
ไม่นานมานี้ มีการค้นพบปราสาทหินแห่งใหม่ในป่าทึบของพนมดงเร็กที่ช่องตาควาย เรียกกันตามชื่อช่องเขาว่า “ปราสาทตาควาย” แต่เนื่องจากการเก็บกู้กับระเบิดในบริเวณนั้นยังไม่เสร็จสิ้น ทั้งยังเป็นเขตที่มิได้มีการปักปันพรมแดนกันอย่างชัดเจน การเดินทางเข้าไปยังปราสาทตาควาย จึงจำเป็นต้องติดต่อประสานกับทางหน่วยทหารพรานของกองกำลังสุรนารีในพื้นที่ เพื่อขอกำลังอารักขาดูแลความปลอดภัย ทำนองเดียวกันกับการเข้าไปยังกลุ่มปราสาทตาเมือนในช่วงสิบกว่าปีก่อน
ในเดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ ที่ผ่านมา กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ ได้รับความเอื้อเฟื้อจากอาจารย์สันธนะ ประสงค์สุข แห่งสถาบันราชภัฏสุรินทร์ จัดการติดต่อประสานงานกับหน่วยทหารในพื้นที่ให้เดินทางเข้าไปสำรวจและถ่ายภาพปราสาทตาควาย
คณะของเมืองโบราณเดินทางไปสมทบกับทีมสถาบันราชภัฏสุรินทร์ยังจุดนัดหมายที่บ้านบักได กิ่งอำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ เมื่อเวลาประมาณ ๑๑ น. ของวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๖ จากนั้นต้องเปลี่ยนยานพาหนะเป็นรถปิคอัพในพื้นที่ เนื่องจากสภาพถนนไม่ดี แล้วเดินทางต่อไปตามถนนลูกรัง ไปยังบ้านไทยสันติสุข สองข้างถนนเป็นพื้นที่การเกษตรของชาวบ้านที่เพิ่งเข้าไปตั้งถิ่นฐานในช่วงสิบปีมานี้ มีไร่มันสำปะหลัง ไร่ปอ สวนยางพารา สวนมะม่วงหิมพานต์ ทางราชการจัดแปลงจัดสรรให้ชาวบ้านที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่รายละ ๒๕ ไร่ แต่เนื่องจากยังมีกับระเบิดหลงเหลืออยู่ทั่วไป ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่จำนวนมาก จึงมักได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากกับระเบิดอยู่เนืองๆ

หน้าต่างที่มุขปราสาทตาควาย ใช้วิธีประกอบชิ้นหินเข้าเป็นช่องหน้าต่าง
จากบ้านไทยสันติสุขเข้าซอยแยกต่อไปยังฐานปฏิบัติการช่องตึ๊กเบ๊าะของทหารพราน (กองร้อยทหารพรานที่ ๙๖๐) เพื่อประสานงานให้นำเข้าไปยังฐานฯ อีกแห่งหนึ่งที่อยู่สูงขึ้นไปบนเขา จากฐานฯ ช่องตึ๊กเบ๊าะนี้ เพื่อนร่วมทางของคณะสำรวจก็คือทหารพรานหกนาย พร้อมอาวุธ (AK - 47) ครบมือ สองนายขี่จักรยานยนต์นำหน้า อีกสองนายอยู่ท้ายกระบะหลัง ที่เหลือขี่รถจักรยานยนต์ติดตามคุ้มกัน
ทางช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นบ่อลูกรัง ระยะทางประมาณ ๔ กิโลเมตร รถยนต์จะต้องค่อยๆ ไต่เลาะขึ้นไปตามไหล่เขา สองข้างเป็นป่าทึบ มีสะพานไม้ข้ามห้วยเล็กๆ สองสามแห่ง บางสะพานชำรุด รับน้ำหนักมากๆ ไม่ได้ จึงต้องให้ผู้โดยสารลงเดินนำไปแล้วจึงให้รถเปล่าข้ามตามไป ทหารพรานที่มาอารักขาเล่าว่าถนนสายนี้ ตัดขึ้นมาเพื่อใช้ส่งกำลังบำรุงให้กับฐานฯ ที่อยู่บนเขา ซึ่งขาดแคลนน้ำ ต้องมีรถขึ้นไปส่งน้ำทุกๆ สองสามวัน

       การเรียงหินส่วนหลังคามุข
เมื่อเดินทางถึงฐานปฏิบัติการของทหารพรานแล้ว พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในวันนี้ ได้กล่าวต้อนรับ และย้ำว่าการปักปันเขตแดนบริเวณนี้ยังไม่ชัดเจนนัก (ว่าปราสาทตาควายจะอยู่ในเขตไทยหรือกัมพูชากันแน่) แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างหน่วยทหารพรานของไทย กับกำลังตำรวจของกัมพูชาจะเป็นไปด้วยดี มีการเยี่ยมเยียนไปมาหาสู่ และออกลาดตระเวนร่วมกันเสมอ ทว่า เนื่องจากบริเวณโดยรอบยังมีกับระเบิดอยู่ทั่วไป ดังนั้น จึงขอให้คณะสำรวจอยู่ในเส้นทางเท่านั้น
จากนั้นจึงเริ่มออกเดินเท้าต่อไปยังปราสาทตาควาย โดยมีกำลังทหารพรานจากฐานฯ อีกหนึ่งหมู่ ดูแลอารักขา เส้นทางเดินจากฐานฯ ไปยังปราสาทตาควาย เป็นทางลาดลงเขา ผ่านป่าทึบ ใช้เวลาเดินอย่างเร็ว (ตามทหารพราน) ประมาณ ๒๕ - ๓๐ นาที คาดว่าระยะทางคงประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ในท้ายที่สุด เมื่อโผล่พ้นดงไม้ไปก็พบกับตัวปราสาทตาควายทันที ตัวปราสาทอยู่บนไหล่เขา และเนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ ด้านหลังจึงอยู่เกือบติดกับเพิงผาของภูเขาด้านหลัง
ปราสาทตาควายเป็นปราสาทหลังเดียวโดดๆ ไม่ปรากฏว่ามีอาคารประกอบอื่นๆ เช่นระเบียงคด บรรณาลัย หรือโคปุระ (สอบถามจากทหารพรานก็ว่าไม่พบ) ตัวปราสาทก่อด้วยหินทราย คะเนด้วยสายตาว่าน่าจะมีความสูงประมาณ ๑๒ - ๑๕ เมตรจากพื้นดิน (ไม่รวมส่วนฐานที่คงยังฝังจมอยู่ในดิน) มีประตูทางเข้าสี่ด้าน ทุกด้านเป็นช่องประตูจริง มีมุขยื่นออกมาทางด้านหน้า (ตะวันออก) เป็นมุขสั้นๆ ปัจจุบันพังทลายลงมาบางส่วน
ที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือสภาพของปราสาทตาควายนับว่าสมบูรณ์มาก คือชั้นหลังคายังอยู่ทั้งหมดจนถึงบัวยอด แต่การก่อสร้างปราสาทแห่งนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เพียงก่อขึ้นรูปไว้เท่านั้น ยังมิได้ขัดแต่งผิวหิน หรือแกะสลักลวดลายใดๆ ซึ่งนั่นเองอาจเป็นเหตุให้ปราสาทยังคงรูปอยู่ได้ โดยไม่ถูกทำลาย หรือลักลอบกะเทาะชิ้นส่วนต่างๆ ไป เช่นที่เกิดขึ้นกับปราสาทอื่นๆ ตามแนวชายแดน เช่นปราสาทตาเมือนธม
การที่ไม่ปรากฏลวดลายอย่างหนึ่งอย่างใดเลยนี้ ทำให้กำหนดอายุปราสาทตาควายได้แต่เพียงกว้างๆ จากรูปทรงของตัวปราสาท ว่าน่าจะอยู่ในราวช่วงปลายสมัยนครวัด ต่อตอนต้นสมัยบายน หรือรัชกาลพระเจ้าสุรยวรมันที่ ๒ ถึงรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗

แท่นฐานรูปเคารพ (ศิวลึงค์?) ภายในปราสาทตาควาย
ส่วนลัทธิศาสนาของผู้สร้างปราสาทแห่งนี้นั้น เนื่องจากไม่ปรากฏรูปเคารพใดๆ หลงเหลือให้เห็นชัดเจน จึงได้แต่เพียงตั้งข้อสังเกตว่าบริเวณกลางห้องโถงของปราสาทซึ่งควรเป็นที่ประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือรูปเคารพนั้น มีแท่งหินธรรมชาติลักษณะคล้ายศิวลึงค์ตั้งอยู่ (แต่จะใช่หรือไม่ยังไม่อาจระบุได้) ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริง ที่นี่ก็อาจเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดู ลัทธิไศวนิกาย ที่นับถือพระศิวะ เช่นเดียวกับที่ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งก็มีการสถาปนาโขดหินธรรมชาติให้เป็นศิวลึงค์ประธานของศาสนสถานด้วย หลังจากใช้เวลานั่งพัก สำรวจ และถ่ายภาพประมาณหนึ่งชั่วโมง คณะสำรวจก็เดินเท้ากลับยังฐานฯ ซึ่งขากลับนี้เป็นทางขึ้นเขา จึงสร้างความเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
ปราสาทตาควายนี้เพิ่งเป็นที่รู้จักกันในท้องถิ่น ในระยะไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ทางหน่วยทหารพรานในพื้นที่ ก็ได้เคยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับคณะบุคคล เช่น อบต. หรือองค์กรเอกชน (NGO) บางแห่งมาบ้างแล้ว สังเกตได้จากขยะที่เริ่มมีให้เห็นสองข้างทางเดิน เช่นเปลือกลูกอม กระป๋องกาแฟ ขวดน้ำพลาสติก หรือแม้แต่ถ้วยโยเกิร์ต

 ทับหลังและเสาประดับกรอบประตูชั้นใน ยังไม่มีการแกะสลักภาพใดๆ
เท่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในพื้นที่ ก็ได้พยายามรักษาสภาพปราสาทตาควายไว้ ด้วยการหมั่นถากถางต้นไม้ที่ขึ้นปกคลุม ทว่า เนื่องจากพื้นที่บริเวณนี้ยังมีความคลุมเครือในด้านเขตแดน ดังนั้น แม้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ทั้งสองฝ่ายจะมีความสัมพันธ์ฉันท์มิตรต่อกัน หากแต่การจะพัฒนาปราสาทตาควายให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ หรือแม้แต่การที่จะมีนักท่องเที่ยวไทยเข้าไปกันเป็นจำนวนมากนั้น ย่อมไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายกัมพูชานัก ดังปรากฏท่าทีว่าตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๔ หนังสือพิมพ์ของกัมพูชา อย่างน้อยสองฉบับ ก็เคยลงข่าวว่ากองกำลังของไทยลักลอบนำสารเคมีมาโปรยที่ปราสาทกรอเบย (กระบือ - ควาย) ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก ทำให้ตัวปราสาทพังทลายลงมา หนังสือพิมพ์ มนสิการเขมร เสริมด้วยว่า “ประเทศไทยกำลังทำสงครามทำลายวัฒนธรรม และทำสงครามช่วงชิงดินแดนของประเทศกัมพูชาแล้ว” แม้ว่าสำหรับเรา - กองบรรณาธิการ วารสารเมืองโบราณ จะเห็นว่าปราสาทตาควายนี้ ตลอดจนถึงปราสาทแห่งอื่นๆ ตามช่องเขาพนมดงเร็ก จะเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนของความสัมพันธ์อันดีระหว่างดินแดนทั้งสองฝั่งที่ยาวนานและยั่งยืนมานับพันปี ทว่า นับตั้งแต่กรณีข่าวลือว่าดาราสาวชาวไทย ให้สัมภาษณ์ว่านครวัดเป็นของไทย จนนำไปสู่การจลาจล เผาสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๔๖ ก็คงทำให้เราเห็นได้ว่ากรณีทำนองนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนยิ่งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น กรณีปราสาทตาควายนี้จึงพึงได้รับความใส่ใจและความรอบคอบในการดำเนินการจากหน่วยงานรัฐบาลทั้งสองประเทศเป็นอย่างยิ่ง
ขอขอบคุณ พ.ต.สุวัฒน์ วงษ์วาสน์ และพี่น้องทหารพรานจากกองร้อยทหารพรานที่ ๙๖๐ กองกำลังสุรนารี จังหวัดสุรินทร์ อาจารย์ สันธนะ ประสงค์สุข (สถาบันราชภัฏสุรินทร์ ) และ คุณวิชชุ เวชชาชีวะ (กระทรวงการต่างประเทศ)
ที่มา: http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=10

ปราสาทตาเมือนธม


กลุ่มปราสาทตาเมือน ตั้งอยู่ที่บ้านหนองคันนาสามัคคี ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ ตามรายทางสู่เมืองพระนครของขอม ในอดีตยังไม่มีความรับรู้ในเรื่องพรหมแดนต่างประเทศ มีแต่เพียงแนวทิศเขาดงเร็ก เป็นพรหมแดนธรรมชาติที่กั้นผู้คนสองดินแดนไว้ คนโบราณมีการ ใช้เส้นทางผ่าช่องเขาที่มีอยู่ตลอดแนว ในบางช่องเขามีการสร้างปราสาทหินขนาดเล็ก เช่น ช่องไชตะกูมีปราสาทแบแบก แต่สำหรับที่ช่องตาเมือนหรือตาเมียงนี้มีลักษณะพิเศษคือ มีปราสาทหินสามหลังอยู่ใกล้ๆกัน เรียงลำดับจากขนาดใหญ่ไปขนาดเล็ก เรียกว่ากลุ่มปราสาทตาเมือน โดยปราสาทแต่ละหลังมีขนาดและประโยชน์ที่ใช้สอยแตกต่างกันไป


ปราสาทตาเมือนธม เป็นปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดในกลุ่ม ตัวปราสาทอยู่บนเนินเขาสร้างคร่อมโขดหินธรรมชาติที่ศักดิ์สิทธิ์ในรูปของสยัมภูศิวลึงค์ และเป็นที่สำหรับประกอบพิธีกรรม อยู่ใกล้ดินแดนเขมรมากที่สุด ปราสาทแห่งนี้หันหน้าไปทางทิศใต้ ผิดแผกจากแห่งอื่นซึ่งมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก คงจะรับกับเส้นทางที่มาจากเขมรต่ำผ่านมาทางช่องทางตาเมือนนี้ ปราสาทตาเมือนธม ซึ่งแปลตรงกับภาษาเขมรว่า ใหญ่ นอกจากนี้ยังมีอาคารอื่น คือปรางค์ก่อด้วยหินทรายสองหลัง อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และตะวันตกเฉียงเหนือของปราสาทประธาน บรรณาลัยศิลาแลงสองหลัง และนอกระเบียงคดทางทิศเหนือมีสระน้ำขนาดเล็กสองสระ
เนื่องจากปราสาทแห่งนี้อยู่ใกล้เขตชายแดน การเที่ยวชมจึงควรอยู่เฉพาะภายในเขตปราสาทเท่านั้น ไม่ควรเดินออกไปไกลจากแนวต้นไม้รอบปราสาทเพราะพื้นที่นี้ยังไม่ปลอดภัยนัก
ปราสาทตาเมือนโต๊ด อยู่ห่างจากปราสาทตาเมือนธม ประมาณ 750 เมตร ก่อด้วยศิลาแลง มีกำแพงล้อมรอบและมีสระน้ำขนาดเล็กอยู่ทางทิศเหนือหนึ่งสระ โดยเชื่อว่าปราสาทแห่งนี้เป็นอโรคยาศาล รักษาพยาบาลของชุมชนหรือตามรายทางที่เป็นเส้นทางคมนาคม ซึ่งนิยมสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7


ปราสาทตาเมือน(บายกรีม)อย่ห่างจากปราสาทตาเมือนโต๊ด ประมาณ 390 เมตร เป็นปราสาทที่เล็กที่สุด ก่อด้วยศิลาแลง มีลักษณะเป็นห้องยาว เชื่อว่าเป็นธรรมศาลา คือที่พักสำหรับคนเดินทาง


กลุ่มปราสาทตาเมือนนี้นับได้ว่าเป็นกลุ่มปราสาทที่มีความสมบูรณ์ในด้านของการอำนวยประโยชน์ แก่ผู้คนที่ใช้เส้นทางผ่านช่องเขา ซึ่งไม่ปรากฏในถิ่นอื่น การที่มีกลุ่มปราสาทตาเมือนตั้งอยู่ในบริเวณนี้เป็นประจักษ์พยานที่แสดงให้เห็นว่า ในอดีตเส้นทางช่องเขาตาเมือนนี้คงจะมีชุมชนหรือเป็นเส้นทางผ่านช่องเขาสำคัญของภูมิภาค
ตัวปราสาทตาเมือนธมจะหันหน้าไปทางทิศใต้ ต่างจากปราสาทอื่นๆ ที่มักหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และทิศเหนือ เช่น ปราสาทพระวิหาร ซึ่งห่างจากด้านหน้าของปราสาทนี้ออกไปในเขตกัมพูชาจะมีสระน้ำ มีถนนตัดผ่านมาจากเมืองพระนครของเมืองเสียมราษฎร์ โดยถนนเส้นนี้ได้มีการกล่าวถึงในจารึกปราสาทพระขรรค์ ในเมืองพระนครว่า ได้ถูกตัดขึ้นในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1763) เพื่อเชื่อมระหว่างเมืองพระนครกับเมืองพิมาย ตัดผ่านมาถึงสระน้ำของปราสาทหลังนี้ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามีความสำคัญพอสมควร 

          อีกนัยหนึ่ง ปราสาทตาเมือนธม อยู่ห่างจากพื้นที่ปราสาทพระวิหาร ที่สร้างในพุทธศตวรรษที่ 15 ไปทางตะวันตก ประมาณ 150 กิโลเมตร แม้จะไม่โด่งดังเท่าปราสาทนครวัด หรือปราสาทพระวิหาร แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมอันน่ามหัศจรรย์ของอาณาจักรขอมโบราณ ปราสาทตาเมือนธม ถูกสร้างเป็นพระตำหนักพักผ่อนของกษัตริย์ขอม ในยุคโบราณตั้งอยู่ริมถนน โบราณที่เชื่อมระหว่างเมืองที่ตั้งปราสาทนครวัดกับดินแดนที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยในปัจจุบันโดยฝ่ายไทยอ้างว่าปราสาทตาเมือนธมตั้งอยู่ในพื้นที่ทับซ้อน 


        สิ่งสำคัญ "ปราสาทตาเมือนธมนั้น ในอดีตสถานที่แห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่เชื่อว่าเป็น   ที่พักคนเดินทาง หรือที่เรียกกันว่า "ธรรมศาลา-บ้านมีไฟแห่งหนึ่งใน 121 แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ มหาราชองค์สุดท้ายแห่งเมืองพระนคร โปรดฯ ให้สร้างขึ้นจากเมืองยโสธรปุระ เมืองหลวงของอาณาจักรขอมโบราณไปยังเมืองพิมาย จึงถือว่าเป็นปราสาทหินที่เชื่อมโยงเส้นทางอารยธรรมขอมโบราณระหว่างปราสาทนครวัด-นครธม ประเทศกัมพูชา กับปราสาทหินพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ และ ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา 

      นอกจากนี้ ปราสาทตาเมือนโต๊ด ในกลุ่ม ปราสาทตาเมือน ยังเป็น อโรคยศาลา (โรงพยาบาลในสมัยนั้น) หลังสุดท้ายในเขตประเทศไทย ที่มีสภาพสมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็น 1 ใน 102แห่ง ที่พระเจ้าชัยวรมันที่ โปรดให้สร้างเพื่อช่วยเหลืออาณาประชาราษฎร์ ดังข้อความในจารึกของพระองค์ที่พบในประเทศ ไทยหลักหนึ่งระบุว่า...ทุกข์ของประชาราษฎร์คือทุกข์ในพระองค์  กรมศิลปากรสำรวจพบ และขึ้นบัญชีปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในเขตไทยเป็นโบราณสถานของไทยตั้งแต่ปี 2478 หรือเมื่อ 73 ปีที่แล้ว ที่ผ่านมากรมศิลปากรได้บูรณะโดยทางการกัมพูชรับรู้มาตลอด

การเข้าชม

เนื่องจากกลุ่มปราสาทนี้ตั้งอยู่ในเขตชายแดนประเทศไทย และเคยเป็นเขตอันตราย เพื่อความสะดวกและปลอดภัยในการเดินทางเข้าชม ควรติดต่อหน่วยตำรวจตระเวนชายแดนที่ตั้งด่านอยู่ที่หมู่บ้าน
การเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์ไปทางอำเภอปราสาทตามทางหลวงหมายเลข 214 จนมาถึงทางแยกตัดกับทางหลวงหมายเลข 24 ให้เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 24 จนถึงสามแยกบริเวณนิคมปราสาท ให้เลี้ยวซ้าย ไปตามป้ายบอกทางไปอำเภอพนมดงรัก ตามทางหลวงหมายเลข 2397 จนมาถึงแยกบริเวณ อบต. แนงมุด ให้เลี้ยวขวา ไปตามทางหลวงหมายเลข 224 จนพบป้ายบอกทางไปกลุ่มปราสาทตาเมือน ให้เลยป้ายไปอีกเล็กน้อยจนถึงแยกบ้านตาเมียง จะพบทางที่มีป้ายบอกไป ฉก. ตชด. 16 เลี้ยวไปตามถนนเส้นนี้(2407)ตรงมาเรื่อยๆ จนพบห้าแยกเลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2407 ผ่านบ้านหนองคันนา ใช้ทางตรงมาเรื่อยจนพบทางแยก จะพบปราสาทตาเมือนก่อน ใกล้ๆกันนั้นมีหน่วยตระเวนชายแดนคุ้มครองนักท่องเที่ยว ควรติดต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเพื่อความปลอดภัยในการเที่ยวชมปราสาท
การเดินทางจากจังหวัดบุรีรัมย์ไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 219 ที่จะไปบ้านกรวด จนมาถึงแยกที่ตัดกับทางหลวงหมายเลข 224 บริเวณนิคมปราสาท อำเภอบ้านกรวด เลี้ยวซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 224 จนถึงแยกบ้านตาเมียง แล้วไปตามเส้นทางเช่นเดียวกับข้างต้นฃที่มา: http://veeratumsourwanee.blogspot.com/2013/02/blog-post_6512.html